4 เทรนด์เทคโนโลยี ที่มาแรงปี 2017
การสร้างและผลิตนวัตกรรมที่ทันสมัยล้ำยุค กลายมาเป็นกระแสที่นักพัฒนาทั่วโลกหันกลับมาให้ความสำคัญอีกครั้ง นักพัฒนาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในกลุ่มสตาร์ทอัป (StartUp) เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาและผลิตนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมา
การพัฒนาของเทคโนโลยีอิเลกทรอนิกส์ที่มีการพัฒนาอย่างมาก เกิดจากการขยายตัวของโลกสื่อสารโทรคมนาคม โดยเฉพาะในส่วนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน จนถึงการขยายตัวในโลกอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้เกิดเทคโนโลยีการสร้างไมโครคอนโทรลเลอร์ (Microcontroller) ขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งลงบนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ที่มีขนาดเล็กๆ เช่นอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Device) จนถึงอุปกรณ์ที่ทำงานในเครือข่าย Internet of Things (IoT) ในอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยยอดการผลิตที่มีจำนวนมาก ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยมีราคาถูกลง
เทรนด์เทคโนโลยีมากมายนับไม่ถ้วน ต่อไปนี้ คือ 4 เทรนด์ ที่คาดว่าจะมีพัฒนาการสุดขีดในปี 2017 และจะส่งผลถึงการใช้ชีวิตของทุกคนในอนาคตอย่างคาดไม่ถึง
การพัฒนาของเทคโนโลยีอิเลกทรอนิกส์ที่มีการพัฒนาอย่างมาก เกิดจากการขยายตัวของโลกสื่อสารโทรคมนาคม โดยเฉพาะในส่วนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน จนถึงการขยายตัวในโลกอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้เกิดเทคโนโลยีการสร้างไมโครคอนโทรลเลอร์ (Microcontroller) ขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งลงบนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ที่มีขนาดเล็กๆ เช่นอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Device) จนถึงอุปกรณ์ที่ทำงานในเครือข่าย Internet of Things (IoT) ในอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยยอดการผลิตที่มีจำนวนมาก ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยมีราคาถูกลง
เทรนด์เทคโนโลยีมากมายนับไม่ถ้วน ต่อไปนี้ คือ 4 เทรนด์ ที่คาดว่าจะมีพัฒนาการสุดขีดในปี 2017 และจะส่งผลถึงการใช้ชีวิตของทุกคนในอนาคตอย่างคาดไม่ถึง
1. Virtual Reality (VR) เทคโนโลยีการสร้างภาพเสมือนจริง
มีผู้คร่าหวอดในวงการไอทีบันทึกไว้แล้วว่าตลาดอุปกรณ์สวมศีรษะที่ผู้ใช้จะหลุดเข้าไปในโลกเสมือนอย่าง VR นั้นจะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2020 เรียกว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าปี 2017 จะเป็นปีที่ปูทางสู่อนาคตสดใสของโลก VR
นับจากปี 2015 เรื่อยมาจนถึงปี 2016 เราเห็นอุปกรณ์ VR แพร่หลายขึ้นอย่างชัดเจน การเปิดตัวอุปกรณ์อย่างการ์ดบอร์ด (Cardboard) ในปี 2014 จนถึงเฟซบุ๊ก (Facebook) ที่เปิดตัวอุปกรณ์โอคูลัสลิฟต์ (Oculus Rift) ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กระทั่งเอชทีซี (HTC) ที่เปิดตัวอุปกรณ์อย่างไวฟ์ (Vive) เมื่อเดือนเมษายน
ด้านซัมซุง (Samsung) นั้นเปิดตัวอุปกรณ์เกียร์วีอาร์ (Gear VR) ก่อนที่โซนี่ (Sony) จะเปิดตัวเพลย์สเตชันวีอาร์ (PlayStation VR) ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ล่าสุดคือเดือนพฤศจิกายนกับกูเกิล (Google) ที่ส่งท้ายปีด้วยการเปิดตัวรุ่นใหม่ตัวจริงของ Cardboard ในชื่อเดย์ดรีมวิว (Daydream View)
2.Augmented Reality (AR)การซ้อนภาพจำลองไปบนภาพจริง กำลังตามไป
ปี 2016 ซึ่งเป็นปีทองของเกม AR Augmented Reality ที่อาจมีบทบาทในวงการแพทย์มากขึ้น รวมถึงทิศทางการพัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะให้มีความอัจฉริยะยิ่งกว่าเดิม หรือในด้านสันทนาการ อย่างโปเกมอนโก (Pokémon Go) สะท้อนว่าเทคโนโลยีที่แสดงภาพกราฟิกบนวิวจริงถนนจริงนั้นเป็นประสบการณ์ที่ถูกใจคนยุคไอที แน่นอนว่าความสำเร็จนี้แสดงถึงพัฒนาการของ AR ที่จะไม่หยุดนิ่งและจะหาทางแทรกซึมเข้าถึงทุกคนทุกเพศทุกวัยมากขึ้น
เรื่องนี้ซีอีโอแอปเปิล ‘ทิม คุก’ (Tim Cook) เคยประเมินว่า AR จะมีโอกาสเติบโตมากกว่า VR เนื่องจากความแนบเนียนในการแสดงภาพกราฟิกที่ผู้ใช้สามารถใช้ชีวิตปกติร่วมไปด้วยได้ แต่ VR ต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างและหลุดเข้าไปในโลกเสมือนโดยไม่ได้รับรู้โลกภายนอก
3.อวสานคนขับรถ ยานยนต์ไร้คนขับ (Connected Car) ตามมาติดๆ
แม้จะถูกมองเป็นเรื่องไกลตัวคนไทย แต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่จะได้รับรู้ว่ายานยนต์ที่ไร้คนขับนั้นจะแจ้งเกิดและถูกผลิตมากขึ้นในปีหน้า ซึ่งไม่เพียงการพัฒนารถเพื่อผู้บริโภคทั่วไป แต่เทรนด์ของรถอัตโนมัติกลับร้อนแรงในรูปบริการเช่ารถผ่านแอปพลิเคชัน
ยิ่งใกล้ปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่มีการคาดหมายว่ารถอัจฉริยะไร้คนขับจะได้ฤกษ์ออกวิ่งบนท้องถนนก็ยิ่งมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นมากมาย เช่น Google ที่จับมือกับฟอร์ดมอเตอร์ (Ford Motor) และอูเบอร์ (Uber) ออกมาประกาศความร่วมมือในการผลักดันกระบวนการต่างๆ สำหรับรองรับการออกสู่ตลาดของรถอัจฉริยะให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่คู่แข่งของ Uber อย่างค่ายลิฟต์ (Lyft) ก็มีการจับมือกับวอลโว่ (Volvo) ทำโครงการถนนปลอดภัยด้วยรถอัจฉริยะไร้คนขับด้วยเช่นกัน
4.ปัญญาประดิษฐ์ครองเมือง Artificial Intelligence (AI)
นับจาก AI ถูกสร้างขึ้น ระบบอัจฉริยะที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้ต่อเนื่องนั้นถูกนำไปใช้งานในหลายจุดประสงค์ แต่วันนี้แบรนด์เริ่มนำ AI มาเพิ่มความประทับใจให้งานบริการลูกค้า ทำให้เกิดเป็นระบบตอบโต้อัตโนมัติที่รวดเร็วและทันใจเรียลไทม์
ผลการสำรวจจากฟอร์เรสเตอร์รีเสิร์ช พบด้วยว่าหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ AI จะเข้ามาแย่งงานพลเมืองอเมริกันได้ถึง 6% ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจะอยู่ในรูปของการบริการอัตโนมัติ เช่น แท็กซี่-รถบรรทุกไร้คนขับด้วย
การวิจัยพบว่าตลาดที่ AI จะมีอิทธิพลมากขึ้นคือธุรกิจลอจิสติกส์ ฝ่ายบริการหลังการขาย และระบบขนส่งมวลชน ซึ่งการเข้ามาของแรงงานหุ่นยนต์เหล่านี้จะมาพร้อมความเข้าใจในพฤติกรรมของมนุษย์ และสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ทำให้มันสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างลื่นไหล โดยจะเห็นได้ว่า ค่ายเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทุกวันนี้ต่างมี AI เป็นของตัวเองกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นอแล็กซา (Alexa) จากอเมซอน (Amazon) หรือคอร์ทานา (Cortana) ของไมโครซอฟท์ รวมถึงสิริ (Siri) ของแอปเปิล และกูเกิลนาว (Google Now)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น